News! “ข้ออ้าง”
เราไม่ว่าอะไรหรอกถ้าคุณจะไม่มีความรับผิดชอบในชีวิตตัวเอง คุณภาพชีวิตคุณจะแย่ลง คุณจะไม่มีใครคบ หรือชีวิตคุณจะพัง เราไม่ได้สนใจ แต่เราขอไว้หน่อยได้มั้ย อย่างน้อยช่วยมีความรับผิดชอบต่อชีวิตคนอื่นบ้าง ไม่ใช่เพื่อไม่ทำให้ตัวคุณเองเดือดร้อน แต่แค่เพื่อไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปกับคุณด้วย เราขอแค่นี้ ได้มั้ย?
ฉันนั่งมองภาพนอกหน้าต่างรถอย่างไร้จุดหมาย หลังจากอ่านข่าว ที่เดี๋ยวนี้การเข้าถึงสื่อต่างๆดูจะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
ข่าวสารและข้อมูลต่างๆ ก็จะถูกแพร่ไปอย่างรวดเร็ว บางอย่างเป็นเรื่องจริงในขณะที่บางอย่างเป็นเรื่องไม่จริง แต่อำนาจการตัดสินจะตกอยู่ในมือของผู้เสพสื่อ ข่าวที่ใกล้ตัวมากที่สุด ก็คงเป็นข่าวในแวดวงสาธารณสุข การฟ้องร้อง การวิจารณ์ ซึ่งส่วนมากจะเป็นข่าวในด้านลบ และบั่นทอนกำลังใจ ซึ่งทุกคนรอบๆตัวก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะแสดงออกมาเป็นคำพูด หรือ ข้อความต่างๆทาง social เช่น “ทำงานยากขึ้นทุกวัน”
“เห็นแบบนี้แล้วไม่มีกำลังใจทำงานเลย” , “ทั้งๆที่เราก็ตั้งใจ ทำไมเค้าถึงไม่เข้าใจ” บางครั้งลุกลามไปถึง “อยากลาออกไปทำอย่างอื่น”
ฉันหันกลับมามองตัวเอง แล้วคิดว่า ทุกคนคงเคยมีวันที่มีปัญหาหรือหมดกำลังใจ น่าแปลกที่ความทุกข์ใจหรือปัญหามักมาพร้อมๆกัน ทีละหลายๆเรื่อง คนที่มีความทุกข์หรือไม่สบายใจอยู่ก่อนแล้ว ก็เหมือนคนที่เป็นโรคร้าย ที่จะมีการติดเชื้อซ้ำซ้อนเกิดขึ้นได้ง่าย เหมือนความทุกข์และปัญหาที่จะรังแกจิตใจของคนที่กำลังอ่อนแอได้ดีเสมอ บางช่วงเวลาของชีวิตที่เจอปัญหาที่เข้ามาในหลายๆทาง ทำให้เกิดความรู้สึกท้อ หรือหมดหวัง การยืนหยัดอยู่บนทางที่เราคิดว่าถูกต้องหรือเหมาะสม บางครั้งก็เหมือนไม้ที่ปักขวางทางน้ำ ต้องออกแรงมากมายเพื่อหยัดยืนให้ได้ท่ามกลางกระแสน้ำที่มากระทบ
ฉันคิดเสมอว่าความรับผิดชอบในหน้าที่และผลของงานที่ทำเป็นการแสดงถึงความเป็นคน การรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นเท่าที่มีความสามารถ ไม่เบียดเบียนใคร คือสิ่งที่ฉันคิดว่าทุกคนควรมี ฉันยืนอยู่ท่ามกลางความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่นั่นคือชีวิตคน แต่ละวันผ่านไปด้วยความตึงเครียดในการทำงาน การรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง การทำตามหน้าที่ กับการรับผิดชอบในหน้าที่ มีความหมายที่ต่างกัน ความรับผิดชอบในหน้าที่ของฉันบางครั้งอาจต้องแลกมากับเวลาหรือความเหนื่อยที่มากขึ้นกว่าเดิม แต่ฉันพอใจเพราะสิ่งที่ได้กลับมาคือผลของงานที่ดี
บางครั้งเมื่อเราต้องต่อสู้กับปัญหาหรือความทุกข์ต่างๆที่เข้ามามากมาย ความท้อแท้หรือหมดหวัง ก็ทำให้เรานึกโทษโชคชะตาหรืออะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น ว่าทำไมต้องเกิดขึ้นกับเรา ทั้งๆที่เราก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อยืนหยัดอยู่บนความถูกต้อง จนท้อที่จะทำต่อไป อยากกลับมาทำเพียงแค่ตามหน้าที่เท่านั้น โทษฟ้า โทษดิน จนบางครั้งก็เกิดข้ออ้างที่ใครหลายคนพูดกันเช่น “ความดีมันทำยาก”, หลังจากปล่อยให้ความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นในหัว ฉันก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา………..
4 ปีก่อนในโรงพยาบาลทั่วไปแห่งหนึ่ง วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังทำหน้าที่ตรวจคนไข้ที่ห้องฉุกเฉิน ภาพผู้หญิงวัยประมาณสามสิบต้นๆ กับเสื้อผ้าที่เก่าและมอมแมม ผมเผ้าที่รุงรัง ดวงตาทั้งสองข้างที่มีฝ้าขาวกับท่าเดินเก้ๆกังๆ ทำให้รู้ได้ไม่ยากว่าตาบอด กำลังอุ้มเด็กหญิงอายุไม่น่าจะถึงหนึ่งปี และจูงเด็กผู้หญิงอีกคนอายุประมาณห้าขวบ ฉันและพี่พยาบาลช่วยกันประคองให้นั่งตรงเก้าอี้คนป่วย แล้วมองเด็กสาวที่ถูกอุ้ม เสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน และรูปร่างที่ทำให้รู้ว่าเด็กดูแข็งแรงสมบูรณ์ดี “น้องไม่สบายค่ะ” เด็กผู้หญิงห้าขวบอีกคนที่มาด้วยอธิบาย เสื้อผ้าที่สวมถึงจะดูเก่าซีด แต่ก็มีความสะอาดสะอ้าน บวกกับความฉะฉานในการพูดทำให้ดูน่าเอ็นดูไม่น้อย “มองไม่เห็นเลยเหรอคะ บอดสนิททั้งสองข้างเลยเหรอ” ฉันถามด้วยความสงสัยเหลือล้น และก็ได้รับคำตอบว่า ผู้เป็นแม่ตาบอดสนิททั้งสองข้าง มีลูกสาวคนโตอายุห้าขวบ และคนเล็กอายุแปดเดือน สามีตายจากอุบัติประมาณสองปีแล้ว ทั้งสามคนอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆในสวนยางที่ญาติแบ่งให้ โดยลูกสาวคนโตจะช่วยเป็นตาให้ผู้เป็นแม่ และจะได้รับการหยิบยื่นความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านใกล้ๆ สาเหตุที่มารพ.วันนี้ เพราะลูกคนเล็กมีไข้ ไอ และกินนมได้น้อย เลยเรียกมอเตอร์ไซต์รับจ้างมาส่งเพื่อพาลูกมาหาหมอ ภาพตรงหน้าและเรื่องราวที่ได้พูดคุย ทำให้คนฟังน้ำตาซึมได้ไม่ยาก ฉันไม่ชอบคำพูดให้กำลังใจที่ว่า “ดูคนนั้น คนนี้สิ ลำบากกว่าเราอีก เราดีกว่าเค้าตั้งมากนะ” ถึงจะเป็นคำพูดเพื่อให้กำลังใจตัวเอง แต่ฉันคิดว่า เราควรเปลี่ยนวิธีคิด และเรียนรู้จากเรื่องราวแบบนี้ที่เราได้พบเห็นว่า “ขนาดเค้าลำบาก หรือทุกข์ขนาดนี้ เค้ายังเดินต่อ แล้วเราหละที่มีกำลังหรือความพร้อมมากกว่าเค้าจะมานั่งท้ออยู่ทำไม” หลังจากได้พูดคุยกับผู้เป็นแม่ และภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้รู้ได้ว่าเธอทำหน้าที่ความเป็นแม่ได้ดีเท่าๆกับแม่คนอื่นๆ ถึงแม้จะมีข้อจำกัดและอุปสรรคอย่างมากมาย ที่เราเองก็ยังไม่รู้ว่าจะสามารถรับมันไหวรึเปล่า แต่ที่แน่ๆเธอไม่ได้เอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นข้ออ้าง ที่จะละเลยหรือเมินเฉยต่อหน้าที่ของตัวเองเลย แต่กลับทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเทียบเท่ากับคนอื่นๆ แม้จะต้องพยายามมากกว่าคนอื่นอีกหลายเท่า…. ฉันนึกย้อนกลับมาถึงความรับผิดชอบ และสิ่งที่ต้องทำ แล้วคิดว่าไม่มีข้ออ้างไหนเลยที่จะทำให้ละเลยหน้าที่ของตัวเอง ถ้าเรายังเป็นคน…..
“ข้อความเหล่านี้ ที่หมอเขียนขึ้นมา เป็นข้อความที่เขียนออกมาจากความรู้สึก และถือเป็นการจัดเรียง เรียบเรียงความรู้สึก เพื่อใช้ในการปลุกไฟ และให้กำลังใจตัวเอง รวมถึงเพื่อนๆพี่ๆบุคลากรทางการแพทย์ ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อผู้ป่วย ขอให้ข้อความเหล่านี้เป็นกำลังใจ และปลุกไฟในตัวทุกคน รวมถึงขอส่งกำลังใจ และความรู้สึกดีๆต่อผู้ป่วยทุกคน ที่กำลังต่อสู้กับโรคภัยและต้องการกำลังใจ ขอให้ทุกท่านทราบว่า เราบุคลากรสาธารณสุขทุกคน จะคอยยืนหยัด พัฒนาตนเอง พัฒนาบริการ เพื่อเป็นที่พึ่งของผู้ป่วยทุกคนต่อไปค่ะ”